ไฮฟู Hifu ultramax 7D ใช้แทนโบท็อกซ์ได้ไหม
- วันวิสาข์ 2540
- 5 วันที่ผ่านมา
- ยาว 2 นาที
หลักการทำงาน: ใช้คลื่นอัลตราซาวด์ความเข้มข้นสูง (High-Intensity Focused Ultrasound) ยิงลงไปที่ชั้นผิวลึกถึงชั้น SMAS (Superficial Muscular Aponeurotic System)
กลไกการออกฤทธิ์: สร้างจุดความร้อน 65-70°C ทำให้เกิดการหดตัวของคอลลาเจนเดิมและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่
เป้าหมายหลัก: ยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อย ลดเส้นริ้วรอยลึก ปรับรูปหน้าให้มีมิติ (V-shape)
หลักการทำงาน: ฉีดสารโบทูลินัม ท็อกซิน ไทป์ เอ (Botulinum Toxin Type A) เข้าสู่กล้ามเนื้อโดยตรง
กลไกการออกฤทธิ์: ยับยั้งการส่งสัญญาณประสาทไปยังกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อไม่สามารถหดตัวได้ชั่วคราว
เป้าหมายหลัก: ลดเส้นริ้วรอยที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ เช่น รอยตีนกา รอยย่นระหว่างคิ้ว รอยย่นหน้าผาก
🔄 HIFU ใช้แทนโบท็อกซ์ได้หรือไม่?
ไม่สามารถใช้แทนกันได้โดยสมบูรณ์ เนื่องจาก:
1. วัตถุประสงค์และกลไกการทำงานต่างกัน
2. ประเภทของริ้วรอยที่รักษา
HIFU: เหมาะกับริ้วรอยที่เกิดจากผิวหย่อนคล้อย แก้มตก กราม และคางไม่ชัด
โบท็อกซ์: เหมาะกับริ้วรอยที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ เช่น รอยย่นระหว่างคิ้ว รอยตีนกา
3. ระยะเวลาในการเห็นผล
HIFU: เห็นผลทันทีบางส่วนและค่อยๆ ชัดเจนขึ้นใน 2-3 เดือน
โบท็อกซ์: เห็นผลใน 3-7 วัน และเห็นผลเต็มที่ใน 2 สัปดาห์
4. ระยะเวลาที่ผลอยู่
HIFU: ผลอยู่ได้นาน 1-2 ปี
โบท็อกซ์: ผลอยู่ได้ 3-6 เดือน
🤔 เมื่อไหร่ควรเลือก HIFU แทนโบท็อกซ์?
ควรเลือก HIFU เมื่อ:
มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย: แก้มตก กรามและคางไม่ชัด ผิวคอหย่อน
ต้องการยกกระชับโครงสร้างใบหน้า: ปรับรูปหน้าให้เป็น V-shape
ต้องการผลลัพธ์ที่อยู่ได้นาน: ไม่ต้องการทำบ่อยๆ (1-2 ปี/ครั้ง)
ไม่ต้องการฉีดสารใดๆ เข้าร่างกาย: กังวลเรื่องสารพิษหรือการแพ้
ต้องการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนธรรมชาติ: เพื่อปรับปรุงคุณภาพผิวในระยะยาว
ควรเลือกโบท็อกซ์เมื่อ:
มีริ้วรอยจากการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ: รอยตีนกา รอยย่นระหว่างคิ้ว รอยย่นหน้าผาก
ต้องการเห็นผลเร็ว: ต้องการเห็นผลภายใน 1 สัปดาห์
ต้องการแก้ไขการทำงานของกล้ามเนื้อบางมัด: เช่น ยกมุมปาก ลดกล้ามเนื้อกราม
ต้องการรักษาภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ: เช่น ใต้วงแขน ฝ่ามือ
ต้องการแก้ไขอาการทางการแพทย์: เช่น ตากระตุก ปวดไมเกรน
ข้อดีของการใช้ร่วมกัน:
ผลลัพธ์ที่ครอบคลุมมากขึ้น: HIFU แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย ขณะที่โบท็อกซ์แก้ไขริ้วรอยจากการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ
เสริมประสิทธิภาพซึ่งกันและกัน: โบท็อกซ์ช่วยลดการดึงรั้งของกล้ามเนื้อ ทำให้ผลของ HIFU ในการยกกระชับชัดเจนขึ้น
ระยะเวลาในการเห็นผล: โบท็อกซ์ให้ผลเร็ว ขณะที่รอผลของ HIFU ที่จะค่อยๆ ชัดเจนขึ้น
ข้อควรระวังในการใช้ร่วมกัน:
ระยะเวลาระหว่างการทำ: ควรเว้นระยะห่างอย่างน้อย 2 สัปดาห์ระหว่างการทำ HIFU และฉีดโบท็อกซ์
ลำดับการทำ: ควรทำ HIFU ก่อน แล้วจึงฉีดโบท็อกซ์ในภายหลัง
การดูแลหลังทำ: ต้องปฏิบัติตามคำแนะนำในการดูแลหลังทำทั้งสองวิธีอย่างเคร่งครัด
ค่าใช้จ่าย: การทำทั้งสองวิธีจะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการทำเพียงวิธีเดียว
ข้อดี:
ไม่ต้องฉีดสารใดๆ เข้าร่างกาย
ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1-2 ปี
กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินตามธรรมชาติ
ไม่มีดาวน์ไทม์ สามารถกลับไปทำกิจกรรมได้ทันที
ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ
ปรับโครงสร้างใบหน้าได้
ข้อจำกัด:
เห็นผลเต็มที่ช้า (2-3 เดือน)
ไม่สามารถแก้ไขริ้วรอยจากการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อได้ดีเท่าโบท็อกซ์
อาจมีอาการเจ็บระหว่างทำ
ราคาสูงกว่าโบท็อกซ์ต่อครั้ง
ไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยมาก
โบท็อกซ์ข้อดี:
เห็นผลเร็ว (3-7 วัน)
ลดริ้วรอยจากการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หัตถการรวดเร็ว (15-30 นาที)
เจ็บน้อย (เพียงรู้สึกเจ็บเล็กน้อยขณะฉีด)
ราคาต่อครั้งถูกกว่า HIFU
สามารถปรับแต่งสัดส่วนใบหน้าได้ เช่น ลดกราม ยกมุมปาก
ข้อจำกัด:
ผลอยู่ได้ไม่นาน (3-6 เดือน)
ต้องฉีดสารเข้าร่างกาย
อาจเกิดการแพ้หรือผลข้างเคียง
ไม่สามารถแก้ไขปัญหาผิวหย่อนคล้อยได้
หากฉีดมากเกินไปอาจทำให้ใบหน้าดูไม่เป็นธรรมชาติ
ต้องทำซ้ำบ่อย (ทุก 3-6 เดือน)
👩⚕️ คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
ใครควรเลือก HIFU?
ผู้ที่มีอายุ 30-65 ปี
ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง
ผู้ที่ต้องการยกกระชับใบหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด
ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่อยู่ได้นาน
ผู้ที่ไม่ต้องการฉีดสารใดๆ เข้าร่างกายใครควรเลือกโบท็อกซ์?
ผู้ที่มีริ้วรอยจากการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ
ผู้ที่ต้องการเห็นผลเร็ว
ผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหาเฉพาะจุด เช่น รอยตีนกา รอยย่นระหว่างคิ้ว
ผู้ที่มีกล้ามเนื้อบางมัดทำงานมากเกินไป เช่น กล้ามเนื้อกรามใหญ่
ผู้ที่มีปัญหาเหงื่อออกมากผิดปกติ
ใครควรใช้ทั้ง HIFU และโบท็อกซ์ร่วมกัน?
ผู้ที่มีทั้งปัญหาผิวหย่อนคล้อยและริ้วรอยจากการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ
ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ครอบคลุมและสมบูรณ์
ผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ซึ่งมักมีปัญหาทั้งสองอย่าง
ผู้ที่ต้องการเตรียมตัวสำหรับงานสำคัญและต้องการผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
📝 การดูแลตัวเองก่อนและหลังทำ HIFU Ultramax 7D
การเตรียมตัวก่อนทำ HIFU
7-14 วันก่อนทำ
งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Retinol, AHA, BHA
งดยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น แอสไพริน, ไอบูโพรเฟน
งดอาหารเสริมที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น น้ำมันปลา, วิตามิน E, กระเทียม
ดื่มน้ำให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 2-3 ลิตร
ทาครีมกันแดด SPF 50+ PA++++ ทุกวัน
48 ชั่วโมงก่อนทำ
งดการดื่มแอลกอฮอล์
งดการสูบบุหรี่
งดอาหารรสจัด เผ็ดจัด หรืออาหารที่มีโซเดียมสูง
นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมง
หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดเป็นเวลานาน
วันทำหัตถการ
มาด้วยใบหน้าสะอาด ไม่แต่งหน้า
แจ้งประวัติการแพ้ยาหรือโรคประจำตัวให้แพทย์ทราบ
สวมเสื้อผ้าสบายๆ เลือกเสื้อที่ไม่ต้องดึงผ่านศีรษะเมื่อถอด
งดการรับประทานยาแก้ปวดก่อนทำหัตถการ (เพื่อให้แพทย์ประเมินความรู้สึกของคุณได้อย่างถูกต้อง)
เตรียมหมวกปีกกว้างหรือผ้าพันคอสำหรับปกปิดผิวหลังทำหัตถการ
การดูแลหลังทำ HIFU
24 ชั่วโมงแรก
ประคบเย็นบริเวณที่ทำ 15-20 นาที ทุก 1-2 ชั่วโมง
ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่อ่อนโยน มีส่วนผสมของเซราไมด์ ไฮยาลูรอนิก แอซิด หรือสารสกัดจากว่านหางจระเข้
ทาครีมกันแดด SPF 50+ PA++++ ทุก 2 ชั่วโมงหากออกจากบ้าน
นอนหงายและยกศีรษะสูงกว่าลำตัวเพื่อลดอาการบวม
ดื่มน้ำมากๆ อย่างน้อย 2-3 ลิตร
48-72 ชั่วโมงแรก
ดูแลอาการที่อาจเกิดขึ้น เช่น บวม แดง ชา หรือเจ็บเสียวเป็นจุด
ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมลดการอักเสบ เช่น Centella Asiatica, Panthenol
รับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง วิตามินซีสูง และโอเมก้า-3
หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือกดบริเวณที่ทำ
ล้างหน้าเบาๆ ด้วยน้ำอุณหภูมิห้องและคลีนเซอร์อ่อนๆ
7 วันแรก
งดอาบน้ำร้อน ซาวน่า อบไอน้ำ จากุซซี่
งดว่ายน้ำในสระที่มีคลอรีน
งดการออกกำลังกายหนัก
งดการนวดหน้าหรือทำทรีตเมนต์ใดๆ บริเวณที่ทำ HIFU
งดการดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่
ป้องกันแสงแดดอย่างเคร่งครัด ทาครีมกันแดด สวมหมวก ใช้ร่ม
14 วันแรก
งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ AHA, BHA, PHA
งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี Retinol หรือ Vitamin A ทุกรูปแบบ
งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี Vitamin C ความเข้มข้นสูง
งดใช้สครับหรือผลิตภัณฑ์ขัดผิว
เน้นผลิตภัณฑ์ที่ให้ความชุ่มชื้นและกระตุ้นคอลลาเจน
30 วันแรก
สังเกตการเปลี่ยนแปลงของผิว ถ่ายภาพเปรียบเทียบทุกสัปดาห์
สามารถเริ่มใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี AHA, BHA ความเข้มข้นต่ำได้หลังจาก 3-4 สัปดาห์
สามารถเริ่มใช้ Vitamin C ได้หลังจาก 3-4 สัปดาห์
ควรเริ่มใช้ Retinol หลังจาก 4-6 สัปดาห์ โดยเริ่มจากความเข้มข้นต่ำก่อน
สามารถทำทรีตเมนต์เบาๆ เช่น การนวดหน้า ได้หลังจาก 3-4 สัปดาห์
🤔 คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ HIFU และโบท็อกซ์
1. HIFU เจ็บกว่าโบท็อกซ์หรือไม่?
โดยทั่วไป HIFU มักจะรู้สึกไม่สบายมากกว่าโบท็อกซ์ ผู้ทำ HIFU อาจรู้สึกเจ็บหรือร้อนเป็นจุดๆ ขณะที่โบท็อกซ์จะรู้สึกเจ็บเพียงเล็กน้อยขณะฉีดเท่านั้น อย่างไรก็ตาม แพทย์มักจะใช้ครีมชาหรือยาชาเฉพาะที่เพื่อลดความไม่สบายระหว่างทำ HIFU
2. หากทำทั้ง HIFU และโบท็อกซ์ ควรทำอะไรก่อน?
ควรทำ HIFU ก่อน แล้วจึงฉีดโบท็อกซ์หลังจากนั้นประมาณ 2 สัปดาห์ เนื่องจาก HIFU อาจทำให้เกิดอาการบวมเล็กน้อย ซึ่งอาจส่งผลต่อตำแหน่งที่แพทย์ฉีดโบท็อกซ์ได้
3. ทำไมผลของ HIFU จึงอยู่ได้นานกว่าโบท็อกซ์?
HIFU กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ในชั้นผิวลึก ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผิวในระยะยาว ขณะที่โบท็อกซ์เพียงยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อชั่วคราว เมื่อฤทธิ์ของโบท็อกซ์หมดลง กล้ามเนื้อจะกลับมาทำงานได้ตามปกติ
4. HIFU และโบท็อกซ์มีผลข้างเคียงต่างกันอย่างไร?
HIFU อาจทำให้เกิดอาการบวม แดง ชา หรือเจ็บเสียวเป็นจุดหลังทำ ซึ่งมักหายไปใน 1-2 สัปดาห์ ส่วนโบท็อกซ์อาจทำให้เกิดรอยช้ำ ปวดศีรษะ หรือในบางกรณีที่พบน้อยมาก อาจทำให้เกิดการตกของเปลือกตาหรือใบหน้าไม่สมมาตร
5. อายุเท่าไหร่จึงเหมาะสมกับการทำ HIFU?
HIFU เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 30-65 ปี ที่เริ่มมีปัญหาผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง ผู้ที่อายุน้อยกว่า 30 ปีมักไม่จำเป็นต้องทำ HIFU เนื่องจากยังไม่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยมากพอ ส่วนผู้ที่อายุมากกว่า 65 ปีที่มีผิวหย่อนคล้อยมาก อาจต้องพิจารณาการผ่าตัดยกกระชับใบหน้าแทน
6. ทำ HIFU แล้วสามารถฉีดโบท็อกซ์ได้เลยหรือไม่?
ไม่ควรฉีดโบท็อกซ์ทันทีหลังทำ HIFU ควรเว้นระยะห่างอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพื่อให้อาการบวมหรือการอักเสบจาก HIFU ลดลงก่อน
7. ทำไมบางคนจึงเลือกทำทั้ง HIFU และโบท็อกซ์?
เนื่องจากทั้งสองวิธีแก้ไขปัญหาคนละอย่าง HIFU แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย ขณะที่โบท็อกซ์แก้ไขริ้วรอยจากการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ การทำทั้งสองวิธีจึงให้ผลลัพธ์ที่ครอบคลุมและสมบูรณ์มากขึ้น
Comments