
RADIESSE (เรเดียสซ์)สามารถใช้ลดริ้วรอยได้หรือไม่
- วันวิสาข์ 2540
- 3 วันที่ผ่านมา
- ยาว 3 นาที
RADIESSE (เรเดียสซ์) คืออะไร? 🌟
สวัสดีค่ะ! วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับ RADIESSE (เรเดียสซ์) ผลิตภัณฑ์ฟิลเลอร์กึ่งถาวรระดับพรีเมียมที่ได้รับความนิยมในการปรับรูปหน้าและฟื้นฟูผิว พร้อมข้อมูลที่ครบถ้วนและละเอียดที่สุดเพื่อให้คุณเข้าใจอย่างถ่องแท้ 💎
RADIESSE (เรเดียสซ์) คืออะไร? 🧬
RADIESSE (เรเดียสซ์) คือ ฟิลเลอร์ประเภทกึ่งถาวรที่มีส่วนประกอบหลักเป็น แคลเซียมไฮดรอกซีแอปาไทต์ (Calcium Hydroxylapatite - CaHA) ซึ่งเป็นสารที่พบในกระดูกมนุษย์ตามธรรมชาติ จึงมีความปลอดภัยสูงและเข้ากับร่างกายได้ดี ผลิตภัณฑ์นี้ใช้สำหรับเติมเต็มริ้วรอยลึก ปรับโครงสร้างใบหน้า และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติ
ราคา: 29,999 บาท/กล่อง (ปริมาณ 1.5 ml) 💰
ได้รับการรับรองจาก FDA สหรัฐอเมริกา, CE Mark ยุโรป และ อย. ประเทศไทย
ผลิตโดย Merz Aesthetics บริษัทชั้นนำด้านความงามจากสหรัฐอเมริกา
RADIESSE มีกลไกการทำงานที่โดดเด่น 2 ขั้นตอน: เติมเต็มทันทีด้วยเจล และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาวด้วยอนุภาค CaHA ทำให้ได้ผลลัพธ์ทั้งในด้านการเติมเต็มและการฟื้นฟูผิว
สามารถใช้ลดริ้วรอยได้หรือไม่? ✨
ใช่! RADIESSE สามารถใช้ลดริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะริ้วรอยลึกปานกลางถึงรุนแรง ด้วยคุณสมบัติที่ช่วยเติมเต็มและยกกระชับผิว
เหมาะกับริ้วรอยประเภทใดบ้าง?
ร่องแก้ม (Nasolabial folds) - ริ้วรอยจากจมูกถึงมุมปาก
ร่องมุมปาก (Marionette lines) - ริ้วรอยจากมุมปากลงมาถึงคาง
ร่องน้ำตา (Tear troughs) - ร่องลึกใต้ตา (ต้องใช้เทคนิคพิเศษ)
ริ้วรอยหน้าผาก - ริ้วรอยแนวนอนลึก
ร่องขมับ - ร่องลึกบริเวณขมับ
ร่องคอ - ริ้วรอยแนวนอนบนคอ
กลไกการลดริ้วรอย:
เติมเต็มทันที: เจลใน RADIESSE จะเติมเต็มร่องริ้วรอยทันทีหลังฉีด ให้ผลลัพธ์ที่ดูเรียบเนียนขึ้น
กระตุ้นคอลลาเจน: อนุภาค CaHA จะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวกระชับและยืดหยุ่นขึ้นในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม RADIESSE ไม่เหมาะกับริ้วรอยเล็กๆ หรือละเอียด เช่น รอยเหี่ยวย่นรอบดวงตาหรือริมฝีปาก ซึ่งควรใช้ฟิลเลอร์ HA ที่มีความนุ่มและละเอียดกว่าค่ะ
เหมาะกับใคร? 👥
RADIESSE เป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ยาวนานและการฟื้นฟูผิวควบคู่ไปกับการเติมเต็ม โดยเหมาะกับกลุ่มดังนี้:
กลุ่มที่เหมาะสม:
ผู้ที่มีอายุ 30-60 ปี ที่มีริ้วรอยลึกหรือผิวหย่อนคล้อย
ผู้ที่ต้องการลดริ้วรอยลึก เช่น ร่องแก้ม ร่องมุมปาก
ผู้ที่ต้องการปรับโครงสร้างใบหน้าให้ชัดเจน เช่น โหนกแก้ม คาง กราม
ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ยาวนานกว่าฟิลเลอร์ HA ทั่วไป
ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้กระชับและยืดหยุ่นจากภายใน
กลุ่มที่ไม่เหมาะ:หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
ผู้ที่มีโรคภูมิแพ้รุนแรงหรือแพ้ส่วนประกอบของ RADIESSE
ผู้ที่มีโรคผิวหนังอักเสบหรือติดเชื้อในบริเวณที่จะฉีด
ผู้ที่มีแนวโน้มเกิดแผลเป็นคีลอยด์
ผู้ที่ต้องการแก้ไขริ้วรอยเล็กๆ หรือละเอียด (ควรใช้ HA Filler)
เห็นผลเลยไหม? ผลลัพธ์อยู่ได้นานไหม? ⏱️
เห็นผลทันทีหรือไม่?
ใช่ เห็นผลทันที! หลังฉีดจะเห็นผลลัพธ์ประมาณ 70-80% โดยผลจะชัดเจนเต็มที่ใน 2-4 สัปดาห์เมื่ออาการบวมลดลงและฟิลเลอร์เข้าที่
ผลลัพธ์ระยะยาวจากการกระตุ้นคอลลาเจนจะเริ่มเห็นใน 3-6 เดือน ผิวจะดูแน่นกระชับและยืดหยุ่นมากขึ้น
ผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ไหน?
ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 12-18 เดือน ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเอง สภาพผิว อายุ และบริเวณที่ฉีด (นานกว่าฟิลเลอร์ HA ทั่วไปที่อยู่ได้ 6-9 เดือน)
ในบางรายที่ผิวดีและดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม ผลลัพธ์จากการกระตุ้นคอลลาเจนอาจคงอยู่นานกว่า 18 เดือน
ข้อดีและข้อเสียของ RADIESSE ⚖️
ข้อดี 🌈
ลดริ้วรอยลึกได้ดีเยี่ยม โดยเฉพาะร่องแก้มและร่องมุมปาก ให้ผลลัพธ์ที่เรียบเนียนและเป็นธรรมชาติ
ผลลัพธ์ยาวนาน 12-18 เดือน คุ้มค่าในระยะยาวเมื่อเทียบกับฟิลเลอร์ HA ที่ต้องฉีดซ้ำบ่อย
กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวกระชับและยืดหยุ่นขึ้นตามธรรมชาติ
ปรับโครงหน้าได้ชัดเจน สามารถใช้เสริมโหนกแก้ม คาง หรือกรามได้ดี
ความปลอดภัยสูง เมื่อทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในคลินิกที่ได้มาตรฐาน
ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ ไม่แข็งตึงหรือดูผิดรูป
ข้อเสีย ⚠️
ราคาค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับฟิลเลอร์ HA ทั่วไป (อาจสูงกว่า 2-3 เท่า)
อาการบวมอาจนานกว่า ใช้เวลาฟื้นตัว 3-7 วัน เทียบกับ HA ที่บวมเพียง 1-3 วัน
ไม่สามารถสลายด้วยเอนไซม์ได้ หากเกิดปัญหาต้องรอให้สลายเองตามธรรมชาติ (ต่างจาก HA Filler ที่สลายได้)
ไม่เหมาะกับริ้วรอยเล็กๆ หรือละเอียด เช่น รอยเหี่ยวย่นรอบดวงตา
ต้องการแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญสูง หากฉีดผิดเทคนิคอาจเกิดก้อนหรือความไม่สมมาตร
อันตรายไหม? ความปลอดภัยเป็นอย่างไร? 🛡️
ความปลอดภัย: RADIESSE มีความปลอดภัยสูงเมื่อทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในคลินิกที่ได้มาตรฐาน เนื่องจากได้รับการรับรองจากหน่วยงานสากล เช่น FDA สหรัฐอเมริกา, CE Mark ยุโรป และ อย. ประเทศไทย
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น (ไม่รุนแรง):
อาการบวม ช้ำ หรือปวดเล็กน้อยบริเวณที่ฉีด (หายเองใน 3-7 วัน)
รอยเข็มเล็กๆ หรือรอยแดง (หายใน 1-2 วัน)
ผลข้างเคียงรุนแรง (หายากมาก < 0.1%):
การอุดตันหลอดเลือด (เกิดจากการฉีดผิดเทคนิค)
การติดเชื้อ (หากทำในสถานที่ไม่ได้มาตรฐานหรือไม่รักษาความสะอาด)
การเกิดก้อน (หากฉีดในชั้นผิวที่ไม่เหมาะสม)
ปฏิกิริยาแพ้ (พบน้อยมาก)
ข้อควรระวัง: ควรเลือกคลินิกที่ใช้ผลิตภัณฑ์แท้ มีใบรับรอง และมีแพทย์ที่มีประสบการณ์ เพื่อลดความเสี่ยงทุกประการ
วิธีการดูแลตัวเองก่อนและหลังทำ RADIESSE 🩹
การดูแลตัวเองอย่างเหมาะสมทั้งก่อนและหลังทำจะช่วยให้ผลลัพธ์ดีที่สุดและลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงได้ค่ะ มาดูรายละเอียดกันเลย!
การดูแลก่อนทำ 📝
7-10 วันก่อนทำ:
งดยาละลายลิ่มเลือด เช่น แอสไพริน, ไอบูโพรเฟน เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดรอยช้ำ
งดอาหารเสริมที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น วิตามิน E, น้ำมันปลา, กระเทียม, โสม
งดทรีตเมนต์รุนแรง เช่น เลเซอร์, ผลัดผิว, ไมโครนีดลิ้ง ที่อาจทำให้ผิวระคายเคือง
แจ้งแพทย์เกี่ยวกับยาที่ใช้ประจำ โรคประจำตัว และประวัติการแพ้
48 ชั่วโมงก่อนทำ:
งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด เพื่อลดความเสี่ยงการบวมและรอยช้ำ
งดผลิตภัณฑ์ที่มีกรด เช่น AHA, BHA, Retinol ที่อาจทำให้ผิวบอบบาง
เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวด้วยมอยส์เจอไรเซอร์สูตรอ่อนโยน
ดื่มน้ำมากๆ (อย่างน้อย 2 ลิตรต่อวัน) เพื่อให้ผิวชุ่มชื้น
วันทำ:มาด้วยหน้าสะอาด ไม่แต่งหน้า เพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อ
ดื่มน้ำให้เพียงพอ (อย่างน้อย 8 แก้ว) และพักผ่อนให้ดี (6-8 ชั่วโมง)
ทานอาหารให้อิ่มก่อนมา เพื่อป้องกันการเป็นลมระหว่างทำ
การดูแลหลังทำ 💆♀️
24-48 ชั่วโมงแรก (ระยะวิกฤต):
ประคบเย็น 10-15 นาที ทุก 1-2 ชั่วโมง เพื่อลดบวมและรอยช้ำ
นอนยกศีรษะสูงด้วยหมอน 2 ใบ เพื่อช่วยลดอาการบวม
งดแต่งหน้าหรือใช้ผลิตภัณฑ์ใดๆ บนใบหน้า (ยกเว้นที่แพทย์แนะนำ)
งดสัมผัสหรือนวดบริเวณที่ฉีด เพื่อป้องกันการเคลื่อนที่ของฟิลเลอร์
หลีกเลี่ยงการแสดงสีหน้าที่รุนแรง เช่น การยิ้มกว้างหรือขมวดคิ้ว
1 สัปดาห์แรก (ระยะฟื้นตัว):
หลีกเลี่ยงแสงแดดจัดและความร้อนทุกชนิด เช่น ซาวน่า อบไอน้ำ
ทาครีมกันแดด SPF 50+ ทุก 2-3 ชั่วโมงเมื่อต้องออกนอกบ้าน
งดออกกำลังกายหนักหรือกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก
งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ เพราะอาจชะลอการฟื้นตัว
งดอาบน้ำร้อนจัดหรือการแช่น้ำร้อน
2-4 สัปดาห์ (ระยะคงตัว)
งดนวดหน้าหรือทำทรีตเมนต์แรงๆ ที่อาจกระทบต่อตำแหน่งฟิลเลอร์
ดื่มน้ำมากๆ (2-3 ลิตรต่อวัน) เพื่อให้ผิวชุ่มชื้น
ใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่มีส่วนผสมให้ความชุ่มชื้นสูง เช่น ไฮยาลูรอนิค แอซิด
รับประทานอาหารที่มีคอลลาเจน วิตามิน C และ E เพื่อส่งเสริมการสร้างคอลลาเจน
หลีกเลี่ยงการกดทับใบหน้า เช่น การนอนคว่ำหรือการใส่หมวกที่รัดแน่น
หวังว่าข้อมูลนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจเกี่ยวกับ RADIESSE อย่างครบถ้วนและตัดสินใจได้ง่ายขึ้น หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สามารถถามมาได้เลยนะคะ! 💬✨
🔄 RADIESSE แตกต่างจากหัตถการอื่นอย่างไร? ✨
RADIESSE มีความโดดเด่นและแตกต่างจากหัตถการอื่น ๆ ในหลายด้าน มาดูการเปรียบเทียบแบบเจาะลึกกันค่ะ 📊:
RADIESSE 💎RADIESSE ใช้วัสดุหลักคือ Calcium Hydroxylapatite (CaHA) ซึ่งทำงานโดยการเติมเต็มปริมาตรทันทีและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิว มีความคงทนอยู่ที่ 12-18 เดือน จุดเด่นคือสามารถปรับโครงหน้าได้ดี เช่น เติมร่องแก้มหรือปรับกรามให้ชัดเจน และให้ผลลัพธ์ระยะยาว แต่ข้อเสียคือไม่สามารถสลายได้ทันทีหากมีปัญหา และมีราคาค่อนข้างสูง 🌟
Sculptra 🌿Sculptra ใช้วัสดุ Poly-L-Lactic Acid (PLLA) ที่เน้นกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเป็นหลัก มีความคงทนยาวนานถึง 18-24 เดือน จุดเด่นคือให้ผลระยะยาวและฟื้นฟูผิวจากภายใน ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ แต่ผลลัพธ์จะไม่ปรากฏทันที ต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ และไม่เหมาะสำหรับการเติมเต็มปริมาตรในทันทีเมื่อเทียบกับ RADIESSE 🍃
Juvederm 💧Juvederm เป็นฟิลเลอร์ประเภท Hyaluronic Acid (HA) ที่เติมเต็มปริมาตรด้วยความชุ่มชื้น มีความคงทน 6-12 เดือน (ขึ้นอยู่กับรุ่น) จุดเด่นคือปลอดภัยสูง เหมาะสำหรับการเติมเต็มริมฝีปากหรือร่องใต้ตา และสามารถสลายได้ทันทีหากมีปัญหา แต่ข้อเสียคือผลลัพธ์อยู่ได้ไม่นานเท่า RADIESSE และต้องทำซ้ำบ่อยกว่า 💦
Restylane 🌸Restylane ก็เป็นฟิลเลอร์ Hyaluronic Acid (HA) เช่นเดียวกับ Juvederm มีความคงทน 6-12 เดือน (ขึ้นอยู่กับรุ่น) จุดเด่นคือปลอดภัยและสามารถสลายได้ทันที เหมาะสำหรับการเติมเต็มร่องลึกและเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว แต่ผลลัพธ์คงทนสั้นกว่า RADIESSE และต้องทำซ้ำบ่อยเช่นกัน ความแตกต่างระหว่าง Restylane กับ Juvederm มักอยู่ที่เทคโนโลยีการผลิตและความหนืดของเนื้อเจล 🌺
Botox 💉Botox ใช้สาร Botulinum Toxin Type A ที่ยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อเพื่อลดริ้วรอยจากการเคลื่อนไหว เช่น รอยย่นหน้าผากหรือตีนกา มีความคงทนเพียง 3-6 เดือน จุดเด่นคือช่วยลดริ้วรอยได้ดีและฟื้นตัวเร็ว แต่ไม่ช่วยเติมเต็มปริมาตรเหมือน RADIESSE และต้องทำซ้ำบ่อย 💊
Thread Lift 🧵Thread Lift ใช้เส้นใยละลายได้ เช่น PDO หรือ PLLA เพื่อยกกระชับผิว มีความคงทน 6-12 เดือน จุดเด่นคือช่วยยกกระชับโดยไม่ต้องผ่าตัด เช่น ยกคิ้วหรือกระชับแก้ม และกระตุ้นคอลลาเจน แต่ข้อเสียคือเจ็บมาก ใช้เวลาฟื้นตัวนาน และมีความเสี่ยงสูงเมื่อเทียบกับ RADIESSE ที่เน้นการเติมเต็มมากกว่าการยกกระชับ 🪡
HIFU/Ulthera 📡HIFU หรือ Ulthera ใช้คลื่นอัลตร้าซาวด์เพื่อกระตุ้นคอลลาเจนด้วยความร้อน มีความคงทน 12-18 เดือน จุดเด่นคือไม่ต้องฉีดและไม่มีแผล เหมาะสำหรับการยกกระชับผิวหย่อนคล้อย แต่ข้อเสียคือไม่ช่วยเติมเต็มปริมาตรเหมือน RADIESSE ผลลัพธ์ปรากฏช้า และรู้สึกเจ็บขณะทำ 🌊
PRP (Platelet-Rich Plasma) 🩸PRP ใช้พลาสมาจากเลือดของตัวเองเพื่อฟื้นฟูผิวด้วยเกล็ดเลือด มีความคงทน 3-6 เดือน จุดเด่นคือปลอดภัยเพราะใช้สารจากร่างกายเอง ช่วยให้ผิวดูสดใสและอ่อนเยาว์ แต่ข้อเสียคือผลลัพธ์ไม่แน่นอนและต้องทำหลายครั้ง เมื่อเทียบกับ RADIESSE ที่ให้ผลลัพธ์ชัดเจนกว่าในเรื่องการเติมเต็มและปรับโครงหน้า 💉
ความคิดเห็น