
RADIESSE (เรเดียสซ์)ใช้เติมเต็มร่องลึกหรือเพิ่มวอลลุ่มได้ดีแค่ไหน
- วันวิสาข์ 2540
- 2 วันที่ผ่านมา
- ยาว 3 นาที
RADIESSE (เรเดียสซ์) 🌟
💰 ราคาและความคุ้มค่า
ราคา: 29,999 บาท/กล่อง 💸
ความคุ้มค่า: ราคานี้รวมผลิตภัณฑ์แท้ 100% การฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการอบรม และการให้คำปรึกษาก่อน-หลังการรักษา ด้วยผลลัพธ์ที่ยาวนานกว่าฟิลเลอร์ทั่วไป ทำให้คุ้มค่าในระยะยาว 🌟
🔍 ประสิทธิภาพในการเติมเต็มร่องลึกและเพิ่มวอลลุ่ม
RADIESSE มีประสิทธิภาพสูงมากในการเติมเต็มร่องลึกและเพิ่มวอลลุ่ม ด้วยกลไกการทำงานแบบ 2 ระยะที่ไม่เหมือนใคร:
🌈 การเติมเต็มร่องลึก (ประสิทธิภาพ: ⭐⭐⭐⭐⭐)
💯 เหมาะสำหรับร่องลึกปานกลางถึงรุนแรง โดยเฉพาะร่องแก้ม (Nasolabial folds), ร่องมุมปาก (Marionette lines), และร่องน้ำตา (Tear troughs)
💯 เนื้อผลิตภัณฑ์มีความหนาแน่นและยืดหยุ่นสูง สามารถยกและเติมเต็มร่องลึกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
💯 ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ ไม่แข็งหรือดูปลอม แม้ในร่องลึกที่ชัดเจน
💯 อนุภาค CaHA ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวบริเวณร่องลึกมีความแน่นและเรียบเนียนขึ้นในระยะยาว
🌈 การเพิ่มวอลลุ่ม (ประสิทธิภาพ: ⭐⭐⭐⭐⭐)
💯 สามารถเพิ่มปริมาตรให้กับบริเวณที่ยุบตัว เช่น แก้ม ขมับ และแนวกราม ทำให้ใบหน้าดูเต็มอิ่มและอ่อนเยาว์
💯 ปรับโครงหน้าได้ชัดเจน เหมาะสำหรับการสร้างมิติให้ใบหน้า เช่น การเสริมกรามหรือเพิ่มปริมาตรบริเวณแก้ม
💯 กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในระยะยาว ทำให้ผิวหนังมีความหนาและแน่นขึ้นตามธรรมชาติ
💯 เหมาะสำหรับการฟื้นฟูผิวที่บาง เช่น หลังมือ ที่มักมีเส้นเลือดเด่นชัด
🔄 กลไกการทำงานแบบ 2 ระยะ:
ระยะที่ 1 - การเติมเต็มทันที: เจล Carrier ให้ปริมาตรทันทีหลังฉีด (เห็นผล 70-80%)
ระยะที่ 2 - การกระตุ้นคอลลาเจน: อนุภาค CaHA กระตุ้นไฟโบรบลาสต์ให้สร้างคอลลาเจน Type I และ III ทำให้ผลลัพธ์ดีขึ้นเรื่อยๆ และผิวดูเต่งตึงขึ้น
👥 เหมาะสำหรับใคร?
เหมาะสำหรับ:
👍 อายุ 30-60 ปีที่มีสัญญาณแห่งวัย เช่น ริ้วรอยลึกหรือผิวหย่อนคล้อย
👍 ผู้ที่มีริ้วรอยลึกปานกลางถึงรุนแรง
👍 ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ระยะยาวมากกว่าฟิลเลอร์ HA ทั่วไป (เช่น Restylane หรือ Juvederm)
👍 ผู้ที่ต้องการปรับโครงสร้างใบหน้าให้ชัดเจน
👍 ผู้ที่ต้องการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินตามธรรมชาติ
ไม่เหมาะสำหรับ:
👎 หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
👎 ผู้ที่มีโรคภูมิแพ้รุนแรงหรือแพ้ส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์
👎 ผู้ที่มีแนวโน้มเกิดแผลเป็นคีลอยด์หรือแผลหายช้า
👎 ผู้ที่มีโรคผิวหนังเรื้อรังหรือการอักเสบในบริเวณที่จะฉีด
👎 ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ในบริเวณที่ต้องการความละเอียดสูง เช่น ริมฝีปาก (เนื่องจากเนื้อผลิตภัณฑ์ค่อนข้างหนาแน่น)
⏱️ เห็นผลเร็วแค่ไหน และอยู่ได้นานเท่าไร?
ความเร็วในการเห็นผล
⚡ ทันทีหลังฉีด: เห็นผลการเติมเต็ม 70-80% จากเจล Carrier
⚡ 2-4 สัปดาห์: ผลลัพธ์สมบูรณ์เมื่ออาการบวมลดลง
⚡ 3-6 เดือน: การกระตุ้นคอลลาเจนและอีลาสตินเริ่มเห็นผลชัดเจน ทำให้ผิวดูเต่งตึงและแน่นขึ้น
ระยะเวลาของผลลัพธ์:
⏳ 12-18 เดือน (ขึ้นอยู่กับสภาพผิว อายุ และการดูแลหลังทำ)
⏳ ยาวนานกว่าฟิลเลอร์ HA ทั่วไปที่อยู่ได้เพียง 6-12 เดือน
⏳ การกระตุ้นคอลลาเจนทำให้ผลลัพธ์บางส่วน (เช่น ความแน่นของผิว) ยังคงอยู่แม้ผลิตภัณฑ์จะสลายตัวไปแล้ว
✨ ข้อดีของ RADIESSE
🌟 ผลลัพธ์ยาวนาน 12-18 เดือน คุ้มค่ากว่าในระยะยาว
🌟 กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินตามธรรมชาติ ช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้น
🌟 เห็นผลทันทีหลังฉีด และผลลัพธ์ดีขึ้นเรื่อยๆ จากการสร้างคอลลาเจน
🌟 ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ ไม่แข็งหรือดูปลอม
🌟 ความปลอดภัยสูง ได้รับการรับรองจากหน่วยงานชั้นนำทั่วโลก
🌟 สามารถปรับโครงหน้าได้ชัดเจน เหมาะกับการยกกระชับ
🌟 เนื้อผลิตภัณฑ์มีความยืดหยุ่นสูง ปรับตัวเข้ากับการเคลื่อนไหวของใบหน้าได้ดี
🌟 อนุภาค CaHA สลายตัวเป็นแคลเซียมและฟอสเฟตไอออน ซึ่งเป็นสารที่มีในร่างกายตามธรรมชาติ
⚠️ ข้อเสียและข้อควรระวัง
⚠️ ราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับฟิลเลอร์ HA ทั่วไป
⚠️ อาการบวมอาจคงอยู่ 3-7 วัน มากกว่าฟิลเลอร์ทั่วไปเล็กน้อย
⚠️ ไม่สามารถสลายด้วยเอนไซม์ Hyaluronidase ได้ หากเกิดข้อผิดพลาดต้องรอให้สลายเองตามธรรมชาติ
⚠️ ต้องฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการอบรมการใช้ RADIESSE โดยเฉพาะ
⚠️ อาจเกิดรอยช้ำหรือรอยแดงชั่วคราวหลังฉีด
⚠️ ไม่เหมาะกับบริเวณที่ต้องการความละเอียด เช่น ริมฝีปากหรือใต้ตาที่ผิวบางมาก
🛡️ ความปลอดภัยและความเสี่ยง
ผลข้างเคียงทั่วไป (พบได้บ่อยและหายได้เอง):
🔹 บวมบริเวณที่ฉีด (3-7 วัน) - เกิดจากการตอบสนองของร่างกายต่อเข็มและผลิตภัณฑ์
🔹 รอยช้ำ (3-5 วัน) - เกิดจากการกระทบของเข็มกับเส้นเลือดฝอย
🔹 รอยแดง (1-2 วัน) - เกิดจากปฏิกิริยาของผิวต่อการฉีด
🔹 อาการตึงหรือรู้สึกไม่สบายผิว (1-3 วัน) - เกิดจากการปรับตัวของผิว
ผลข้างเคียงที่พบได้น้อย (ควรปรึกษาแพทย์):
🔸 อาการบวมหรือรอยช้ำที่รุนแรงกว่าปกติ (มากกว่า 7 วัน)
🔸 ความรู้สึกไม่เท่ากันของผิวบริเวณที่ฉีด
ผลข้างเคียงรุนแรง (พบน้อยมาก < 0.1% ควรพบแพทย์ทันที):
🔻 การอุดตันหลอดเลือด - อาการปวดรุนแรง ผิวเปลี่ยนสีอย่างรวดเร็ว
🔻 การติดเชื้อ - อาการแดงร้อน บวม และมีหนอง
🔻 การเกิดก้อนหรือ Nodule - เกิดจากการฉีดที่ไม่ถูกเทคนิค
🔻 ปฏิกิริยาภูมิแพ้รุนแรง - หายใจลำบาก ผื่นขึ้นรุนแรง
หมายเหตุ: ความเสี่ยงของผลข้างเคียงรุนแรงจะลดลงอย่างมากเมื่อทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในคลินิกที่ได้มาตรฐาน 🏥
📝 การเตรียมตัวก่อนทำ
7-10 วันก่อนทำ:
🚫 งดยาละลายลิ่มเลือด เช่น แอสไพริน, ไอบูโพรเฟน
🚫 งดอาหารเสริมที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น วิตามิน E, น้ำมันปลา, โสม, กระเทียม
🚫 งดทรีตเมนต์รุนแรง เช่น เลเซอร์, การผลัดผิวด้วยกรดเข้มข้น, หรือ Dermabrasion
48-72 ชั่วโมงก่อนทำ:
🚫 งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด
🚫 งดผลิตภัณฑ์ที่มีกรด เช่น Retinol, AHA, BHA
💧 เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวด้วยมอยส์เจอไรเซอร์สูตรอ่อนโยน
📋 แจ้งแพทย์เกี่ยวกับประวัติการรักษา, โรคประจำตัว, และยาที่ใช้ทั้งหมด
💆♀️ การดูแลหลังทำ
24-48 ชั่วโมงแรก (ระยะวิกฤต):
❄️ ประคบเย็น 10-15 นาที ทุก 1-2 ชั่วโมง เพื่อลดบวม
🛌 นอนยกศีรษะสูงด้วยหมอน 2 ใบ เพื่อลดการไหลเวียนเลือดไปยังบริเวณที่ฉีด
🚫 งดสัมผัส นวด หรือกดบริเวณที่ฉีด เพื่อป้องกันการเคลื่อนของผลิตภัณฑ์
🚫 งดแต่งหน้าหรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมรุนแรง
1-2 สัปดาห์หลังทำ (ระยะฟื้นตัว):
☂️ หลีกเลี่ยงแสงแดดจัดและความร้อน เช่น ซาวน่า, ห้องอบไอน้ำ, หรือการอบผิว
🧴 ทาครีมกันแดด SPF 50+ ทุก 2-3 ชั่วโมงเมื่อต้องออกแดด
🚫 งดออกกำลังกายหนักที่ทำให้เหงื่อออกมาก
🚫 งดอาบน้ำร้อนจัดหรือล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นจัด
💧 ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสูตรอ่อนโยน ไม่มีส่วนผสมของกรดหรือแอลกอฮอล์
💧 ดื่มน้ำมากๆ (2-3 ลิตรต่อวัน) เพื่อช่วยให้ผิวฟื้นตัวเร็วขึ้น
1 เดือนหลังทำ (ระยะติดตามผล):
👨⚕️ พบแพทย์เพื่อประเมินผลลัพธ์และรับคำแนะนำเพิ่มเติม
🧴 เริ่มใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมกระตุ้นคอลลาเจน เช่น เปปไทด์ หรือวิตามิน C
🔬 ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เพิ่มเติม
กลไกการสลายตัว: อนุภาค CaHA ค่อยๆ สลายตัวเป็นแคลเซียมและฟอสเฟตไอออน ซึ่งเป็นสารที่มีในร่างกายตามธรรมชาติ จึงไม่ก่อให้เกิดการสะสมในร่างกาย
งานวิจัย: การศึกษาปี 2019 ในวารสาร Dermatologic Surgery พบว่า RADIESSE กระตุ้นคอลลาเจนได้มากกว่าฟิลเลอร์ HA ถึง 2 เท่า และมีอัตราพึงพอใจของผู้ใช้สูงถึง 90% หลัง 12 เดือน
ความปลอดภัย: มีรายงานความปลอดภัยจากผู้ใช้กว่า 6 ล้านคนทั่วโลก
💡 เคล็ดลับเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
👨⚕️ เลือกคลินิกและแพทย์ที่มีประสบการณ์กับ RADIESSE โดยเฉพาะ ควรขอเห็นใบรับรองการอบรม
🔍 ตรวจสอบผลิตภัณฑ์ว่าเป็นของแท้ โดยดูจากสติกเกอร์โฮโลแกรมและหมายเลขล็อต
📅 วางแผนการรักษาให้เหมาะสมกับตารางชีวิต เพราะอาจมีรอยบวมช้ำในช่วงแรก
💉 รวมการรักษานี้กับทรีตเมนต์อื่น เช่น โบท็อกซ์ เพื่อผลลัพธ์ที่ครอบคลุมมากขึ้น
🥗 รักษาสุขภาพผิวโดยรวมด้วยการรับประทานอาหารที่มีคอลลาเจน, วิตามิน C และ E เพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูผิว
RADIESSE เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ไขริ้วรอยลึกและเพิ่มวอลลุ่มให้ใบหน้า ด้วยประสิทธิภาพสูงในการเติมเต็มและกระตุ้นคอลลาเจน ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและยาวนาน แม้จะมีราคาสูงกว่าฟิลเลอร์ทั่วไป แต่ความคุ้มค่าในระยะยาวและผลลัพธ์ที่ได้ทำให้เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าสำหรับผู้ที่ต้องการการฟื้นฟูผิวระดับพรีเมียม 💖
หมายเหตุ: หากต้องการตาราง HTML5 ที่สวยงามเพิ่มเติม สามารถดูได้จากข้อความก่อนหน้าที่ผมได้จัดทำไว้อย่างละเอียดในรูปแบบ Artifact ครับ 🎨
🔄 RADIESSE แตกต่างจากหัตถการอื่นอย่างไร? ✨
RADIESSE มีความโดดเด่นและแตกต่างจากหัตถการอื่น ๆ ในหลายด้าน มาดูการเปรียบเทียบแบบเจาะลึกกันค่ะ 📊:
RADIESSE 💎RADIESSE ใช้วัสดุหลักคือ Calcium Hydroxylapatite (CaHA) ซึ่งทำงานโดยการเติมเต็มปริมาตรทันทีและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิว มีความคงทนอยู่ที่ 12-18 เดือน จุดเด่นคือสามารถปรับโครงหน้าได้ดี เช่น เติมร่องแก้มหรือปรับกรามให้ชัดเจน และให้ผลลัพธ์ระยะยาว แต่ข้อเสียคือไม่สามารถสลายได้ทันทีหากมีปัญหา และมีราคาค่อนข้างสูง 🌟
Sculptra 🌿Sculptra ใช้วัสดุ Poly-L-Lactic Acid (PLLA) ที่เน้นกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเป็นหลัก มีความคงทนยาวนานถึง 18-24 เดือน จุดเด่นคือให้ผลระยะยาวและฟื้นฟูผิวจากภายใน ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ แต่ผลลัพธ์จะไม่ปรากฏทันที ต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ และไม่เหมาะสำหรับการเติมเต็มปริมาตรในทันทีเมื่อเทียบกับ RADIESSE 🍃
Juvederm 💧Juvederm เป็นฟิลเลอร์ประเภท Hyaluronic Acid (HA) ที่เติมเต็มปริมาตรด้วยความชุ่มชื้น มีความคงทน 6-12 เดือน (ขึ้นอยู่กับรุ่น) จุดเด่นคือปลอดภัยสูง เหมาะสำหรับการเติมเต็มริมฝีปากหรือร่องใต้ตา และสามารถสลายได้ทันทีหากมีปัญหา แต่ข้อเสียคือผลลัพธ์อยู่ได้ไม่นานเท่า RADIESSE และต้องทำซ้ำบ่อยกว่า 💦
Restylane 🌸Restylane ก็เป็นฟิลเลอร์ Hyaluronic Acid (HA) เช่นเดียวกับ Juvederm มีความคงทน 6-12 เดือน (ขึ้นอยู่กับรุ่น) จุดเด่นคือปลอดภัยและสามารถสลายได้ทันที เหมาะสำหรับการเติมเต็มร่องลึกและเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว แต่ผลลัพธ์คงทนสั้นกว่า RADIESSE และต้องทำซ้ำบ่อยเช่นกัน ความแตกต่างระหว่าง Restylane กับ Juvederm มักอยู่ที่เทคโนโลยีการผลิตและความหนืดของเนื้อเจล 🌺
Botox 💉Botox ใช้สาร Botulinum Toxin Type A ที่ยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อเพื่อลดริ้วรอยจากการเคลื่อนไหว เช่น รอยย่นหน้าผากหรือตีนกา มีความคงทนเพียง 3-6 เดือน จุดเด่นคือช่วยลดริ้วรอยได้ดีและฟื้นตัวเร็ว แต่ไม่ช่วยเติมเต็มปริมาตรเหมือน RADIESSE และต้องทำซ้ำบ่อย 💊
Thread Lift 🧵Thread Lift ใช้เส้นใยละลายได้ เช่น PDO หรือ PLLA เพื่อยกกระชับผิว มีความคงทน 6-12 เดือน จุดเด่นคือช่วยยกกระชับโดยไม่ต้องผ่าตัด เช่น ยกคิ้วหรือกระชับแก้ม และกระตุ้นคอลลาเจน แต่ข้อเสียคือเจ็บมาก ใช้เวลาฟื้นตัวนาน และมีความเสี่ยงสูงเมื่อเทียบกับ RADIESSE ที่เน้นการเติมเต็มมากกว่าการยกกระชับ 🪡
HIFU/Ulthera 📡HIFU หรือ Ulthera ใช้คลื่นอัลตร้าซาวด์เพื่อกระตุ้นคอลลาเจนด้วยความร้อน มีความคงทน 12-18 เดือน จุดเด่นคือไม่ต้องฉีดและไม
ความคิดเห็น